ทำไมลูกเดินเท้าบิด
Cr. ทำไมลูกเดินเท้าบิด | รพ.เด็กสินแพทย์ (synphaet.co.th)

คุณพ่อคุณแม่หลายท่านเฝ้ารอคอยวันที่ลูกลูกขึ้นมายืนและเดิน แต่แล้วทำไมเมื่อลูกเริ่มเดินกลับมีลักษณะการเดินที่ทำให้คุณพ่อคุมพ่อคุณแม่
กังวลใจ ยิ่งมิคำทักจากปู่ย่าตายาย หรือคนรอบข้างที่พบเห็นยิ่งเป็นกังวลหนักขึ้น ทำไมลูกจึงเดินปลายเท้าบิดเข้าหากัน
เหตุใดลูกจึงเดินเท้าบิด
เด็กส่วนใหญ่เผื่อเริ่มเดินจะมีปลายเท้าช้เข้าหากัน มากบ้างน้อยบ้างในแต่ละคนแตกต่างกันไปตามธรรมชาติ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากการ
พัฒนาการของกระดูกชาซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์ต่อเนื่องมาจนกระทั่งหลังคลอด กล่าวคือจะมีการหนุนของกระดูกต้นชา และกระดูกแข็ง
(ขาท่อนส่าง) เข้าทางด้านใน ส่งผลให้ปลายเท้าหมุนขึ้เข้าหากันเวลาเดิน และจะเห็นได้ชัดขึ้นเมื่อเดินเร็วๆ หรือวิ่ง
ทำไมตอนยังไม่เดิน..ไม่เป็น
จากท่าที่ทารกต้องขดตัวอยู่ในมตลกของคุณแม่ส่งพส่งพลให้เยื่อทัมข้อแระเส้นเอ็นล้านหลังของข้อละโพกหดสั้นและรั้งขั้งข้อสะไม่ให้ให้หนเข้า
ด้านในทำให้ไม่เห็นการหนุนเข้าหากันของเท้าในช่วง 1 ชวบปิแรก หลังจากนั้นเมื่อเนื้อเยื่อด้านหลังขัดสะโพกหย่อนลงซึ่งเป็นช่วงที่เริ่ม
เดินพอดีก็จะเห็นลักษณะปลายเท้าท้าทีหนเข้าหากัน หาททพบว่ามีการบิดเข้าด้านในของเท้าในเด็กอายุ น้อยกว่า 1 ขวบแสดงว่ามีการบิดเข้าด้าน
ในของปลายเท้า ควรพาเด็กไปตรวจและรับคำแนะนำจากแพทย์
ลูกคนแรกก็ปกติดี
โดยธรรมชาติแล้วก็จะมีความแตกต่างกันไปในเด็กแต่ละคน แม้ว่าเด็กเกือบทั้งหมดจะมีการบิดหมุนของกระดูกชาเข้าด้านในทำให้เดินใน
ลักษณะปลายเท้าบิดเข้าหากัน แต่ก็จะมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไปในแต่ละคน จึงทำให้สังเกตไม่พบในบ้างคน
จะทำอย่างไรดีถ้าลูกเดินเท้าบิด
เนื่องจากการเดินเท้าบิดเข้าหากันสำนใหญ่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หากพบว่าเป็นไม่มาก เป็นเท่ากันทั้ง 2 ข้าง ไม่มีปัญหาเรื่องความ
ล่าจำในเรื่องพัฒนาการทางร่างกาย ก็สามกรถเข้ารอดูการเปลี่ยนแปลงซึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นชักๆ เมื่อโดขึ้น โดยการบิดหมุนเข้าในของกระตูกแข็ง
ส่วนใหญ่จะหายไปเมื่ออายุ 4-5 ขวบ แต่ถ้าเป็นส่วนกระดูกดันชาศัองใช้เวลานานกว่านั้นคือประมาณ 10 – 12 ชวบ แต่หากทพบว่าเข้าหา
กันตั้งแต่เกิด อาจมีสาเหตุจากเท้าส่วนหน้าบิดเร็กใน ควระต้องรับคำปรึกษาจากแพทย์ถึงแนวทางการรักษา หรือในกรณีมีความอ่ามอ่าน
พัฒนาการทางร่างกาย มีข้อจำกัดเรื่องการเคลื่อนไหวของข้อต่างๆ เดินกระเผลก ตัวโยกหรือตัวเอียง หรือเป็นเพียงข้างเดียว ควรได้รับการ
ตรวจประเมินจากแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติอื่นๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่
มีความจำเป็นต้องทำการตรวจเพิ่มเติมหรือไม่
โดยทั่วไปการวินิจฉัยการะบิดหมุนของกระลูกขา หรือความผิดปกติของเท้าสามารถวินิจนิจฉัยใต้จากการตรรรรร่างกาย มีจำนวนน้อยมากที่ต้องได้รับ
การตรวจเพิ่มเดิม เช่น การทำเอ็กขเรย์ จะทำการครวจเมื่อมีความสงสัยตวามผิดปกติแต่กำเนิดที่บริเวณข้อสะโพก หรือทำการตรรรรรรระบบ
ประสาทไขสันหลังด้วยเครื่องครวจสนามแม่เหล็ก (MIRI) ในรายที่สงสัยความผิดปกติของระบบประสาทเป็นต้น
จำเป็นต้องดัดขา หรือใส่รองเท้าพิเศษหรือไม่
การตัดขา และ การตัดรองเท้าพิเศษ ไม่มีความจำเป็นเนื่องจากไม่มีหลักฐานทางวิยาการที่สนับสนุนว่าจะสามามารถเร่ง หรือ มีผลต่อการ
เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตานหากเป็นความสบายใจของผู้ปกครอง หรือญาติผู้ใหญ่ก็มิได้เป็นข้อห้ามแต่อย่างใด คราบใดที่
มิได้ตัดชาลูกหลานด้วยความรุนแรงจนเกิดการบาดเจ็บ หรือรองเท้าพิเศษที่ใช้ไม่ไปขัดขวางพัฒนาการหรือก่อให้เกิดปมต้อยต่อเด็ก
การรักษาภาวะเท้าชี้เข้าหากัน
เมื่อตัดภาวะความผิดปกติของเท้าซึ่งต้องได้รับการรักษาออก การมีปลายเท้าอี้เข้าข้าหากันส่วนใหญ่เกิดจากการหมุนของกระดูกชาซึ่งมีอยู่ตาม
ธรรมชาติและจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง โดยการหนุนของกระลูกขาท่อนล่างจะค่อยๆดีขึ้นก่อนและเป็นปกติที่อายุประมาณ 4-5-5 ชวบ แต่การหนุนของ
กระตูกตันซาจะใช้เวลาในการปรับตัวนานกว่าคือค่อยๆดีขึ้นถึงอายุ 12- 14 ปี และตามที่กล่าวไว้ดังชัางตันว่า การใช้รองเท้าหรืออุปกรณ์ใคๆ
ไม่ส่งผลดอการเปลี่ยนเปลงที่เกิดขึ้นตามธรรรมชาติ เราจึงไม่จำเป็นต้องให้การรักษาใดๆ เด็กที่เดินเท้าชี้เข้ากันเกินเกือบทั้งหมดจะกลับมาเป็น
ปกติเมื่อเติบใดเป็นผู้ใหญ่ มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่การปรับตัวเรื่องการหนุนของกระตกไม่สามารถปรับกลับไปจนเป็นปกติ ทำให้ยังให้ยังมีการเดินเท้า
ชี้เข้าหากันแม้จะเดิบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วถึงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ย่อมต้องมีความเเตกต่างทางด้านสรระของแต่ละบุคคล ตราบใดที่ตาม
ผันเปรตามธรรมชาตินี้ไม่รบกวนการเช็งานก็ไม่จำเป็นต้องทำการรักษาใดๆ เนื่องจากวิธีการรักษาวิธีเดียวที่ได้คือการมาศดโดยการตัดการตัตกระลูก
แล้วหมุนกระลูกให้มาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการแล้วทำท้าการยึดด้วยโรหะตามกระดูกเหมือนที่ใช้ในการรักษาผู้ที่มีกระลูกหัก จะพิจารณาทำเมื่ออายุ
มากกว่า 12 ปีเฉพาะในรายที่มีปัญหาเรื่องการใช้งาน เช่น เท้าขัดกันอัมเวลาเดินหรือวิ่ง ซึ่งมีโอกาสเป็นไปไม่ได้น้อยมาก หรือในรายที่มีการบิด
หนุนมากจนดูน่าเกลียดรับไม่ได้ ทั้งนี้ต้องทั้งน้ำหนักระหว่างควางควาแระของปัญหากับผลแทรกชัยนที่เกิดขึ้นได้จากการม่าตัด ภาวะดังกล่าวนี้จึง
มิโอกาสน้อยมากที่ผู้ป่วยจะต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไข